ยินดีต้อนรับสู่ Li2010






วันจันทร์ที่ 8 มีนาคม พ.ศ. 2553

ส.ค.ส.พระราชทานปี 2553





ส.ค.ส.จากในหลวง

บ้านเรือนไทย


บ้านเรือนไทย
[
-->
ประวัติความเป็นมาบ้านเรือนไทย บ้านไทย หมายถึง บ้านไทยหรือเฉพาะตัวเรือนไทยโบราณภาคกลางสร้างด้วยไม้มีบริเวณ เพราะเรือนไทยสร้างเป็นหลังๆ หรือกลุ่มย่อมมีบริเวณด้วย ทั้งนี้อนุโลมตามภาษาพูดและความเข้าใจ เช่นกล่าวว่า ปลูกบ้านก็หมายถึงปลูกเรือนนั่นเองและคำว่า เรือน ในภาษาพูดไม่ค่อยนิยมใช้มักใช้คำว่า บ้าน แทนเป็นส่วนใหญ่และในบางกรณีพูดว่า มีเรือน หมายถึงหญิงหรือชายได้สมรสเป็นผัวเมียกันแล้วก็ได้ ความหมายคือมีเรือนหอสำหรับพักอาศัยสำหรับครอบครัวเริ่มต้นเรือนหมู่ คือเรือนปลูกอยู่ในที่เดียวกันมีหลายหลังในระยะต่อมาเมื่อมีความเจริญแล้วอาจมีนอกชานแล่นกลางติดต่อกันได้ตลอด เรือนเหล่านี้หลังหนึ่งเป็นเรือนเดิมซึ่งพ่อแม่อยู่ ส่วนนอกนั้นเป็นเรือนหลังย่อมกว่าเป็นที่อยู่ของบุตรสาวที่มีเรือนไปแล้วจะมีจำนวนกี่หลังก็สุดแล้วแต่จำนวนบุตรสาวซึ่งมีเรือนแล้วไปปลูกเรียงกันถัดเรือนเดิมออกมาทางด้านหน้าทั้งสองข้าง เรือนหลังเดิมเรียกว่าหอกลาง ส่วนเรือนนอกนั้นเรียกหอรี เพราะปลูกไปตามยาวถ้ามีเรือนปลูกอีกหลังหนึ่งเป็นด้านสกัด ก็เรียกว่าหอขวาง ตามปรกติมักกั้นฝาแต่สามด้าน เปิดโล่งไว้แต่ด้านหน้า สำหรับเป็นที่รับแขก ถ้าเรือนหมู่นี้เป็นของคหบดีผู้มั่งคั่งมักมีเรือนโถงปลูกขึ้นหลังหนึ่งที่ตรงกลางชานสำหรับเอาไว้นั่งเล่นหรือใช้เป็นที่เมื่อเวลามีงาน เช่น สวดมนต์เลี้ยงพระ เป็นต้น หอนั่งนั้นไม่จำเป็นจะต้องปลูกอยู่กลางชานเสมอไป จะใช้เรือนหลังไหนซึ่งยังไม่มีคนอยู่และเปิดเป็นห้องโถงใช้เป็นหอนั่งก็ได้นอกจากนี้อาจมีเรือนหลังเล็กๆ สำหรับเลี้ยงนกจะปลูกไว้ตรงไหนก็ได้แล้วแต่จะเห็นเหมาะ เรือนอย่างนี้เรียกว่าหอนก ด้านหลังของหอนั่งมักปลูกเป็นร้านต้นไม้ โดยมากเป็นไม้เถาซึ่งดอกมีกลิ่นหอม คำว่า บ้าน หมายถึง เรือน ตึก ที่อยู่อาศัย และคำว่าบ้านไทยภาคกลางในที่นี้หมายเฉพาะถึงเรือนแบบไทยมีลักษณะดังนี้คือ สร้างด้วยไม้เป็นส่วนใหญ่ หลังคาทรงสูง ฝาปะกนหรือฝาลูกฟัก ยกถอดประกอบได้เป็นเรือนชั้นเดียวใต้ถุนสูงและเป็นที่นิยมปลูกสร้างกันในภาคกลางโดยทั่วไปและนิยมปลูกกันริมแม่น้ำริมคลอง เพราะในสมัยโบราณแม่น้ำลำคลองเป็นเส้นทางคมนาคมหลักบ้านจึงอยู่ใกล้แม่น้ำลำคลองเพื่อความสะดวกในการเดินทางบ้านเรือนไทยสองหลัง เป็นบ้านเรือนไทยภาคกลางจำลอง ประกอบด้วย เรือนนอนใหญ่ และเรือนครัวทำจากไม้สักทองทั้งหลังบ้านเรือนไทยสามหลัง เป็นบ้านเรือนไทยภาคกลางจำลอง ประกอบด้วย เรือนนอนใหญ่ เรือนนอนเล็กและเรือนครัว ทำจากไม้สักทองทั้งหลังภาพจาก : บ้านเรือนไทยดอทคอม

หนังสือซีไรต์



หนังสือรางวัลซีไรต์ปี 2552

รายละเอียดสินค้า แม่กับผัวใหม่เข้าใจว่า “ลับแล” ลูกชายถูกผีเข้าสิงจึงจับตัวลูกส่งไปอยู่วัด เพื่อให้หลวงพ่อขับไล่ผี แต่ลูกชายกลับเล่าเรื่องราวทั้งหมดที่เกิดขึ้นกับครอบครัวให้หลวงพ่อฟัง ตั้งแต่เรื่องบรรพบุรุษจนกระทั่งเรื่องว่าเขาคือคนที่ฆ่า “แก่งคอย” ซึ่งเป็นพี่ชายของเขาตาย โดยผลักให้ตกหน้าผา ลับแล, แก่งคอย หากนับว่าเป็นเรื่องจริงและเรื่องแต่ง โดยนักเขียนได้แบ่งโครงเรื่องของนิยายออกเป็น 5 ภาค คือ ภาคแรก - กำเนิดจากเรื่องเล่า, ภาคสอง - ประวัติศาสตร์ที่เริ่มสว่าง , ภาคสาม - ในป่าหิมพานต์ , ภาคสี่ - ฌาปนกิจความจริง และภาคห้า - เถ้าอังคารของความลวง ลับแล, แก่งคอย ยังจัดเป็นนวนิยายแนวอัตชีวประวัติที่ผู้อ่านยากจะคาดเดาได้ว่าเรื่องราวจะจบลงเช่นไร

อาหารว่าง








ความคิดเห็นที่ 1 หลายครั้งที่ได้เห็นกระทงทอง ก็ไม่รู้สึกอยากทำ คิดว่าคงจะจุกจิกและยาก ส่วนรสชาดก็คิดเอาเองว่า คงงั้น ๆ แหละ ไม่น่าจะมีอะไรพิเศษ แต่พอได้ลองทำ แล้วรู้เลยว่าทำไม่ยาก ตอนทำสนุกค่ะ ตอนทอดกระทง ทำแล้วเพลินดี ทำไส้ก็ไม่ยุ่งยาก ที่สำคัญคือทำออกมาแล้วอร่อยมาก เป็นของกินเล่นที่กินเพลิน จะใช้รับแขกก็ถูกใจแขกค่ะ ลองมาดูวิธีทำนะคะ จะใช้สูตรที่ใส่น้ำปูนใสที่น้องกานและคุณแพท เอามาลงไว้ก็ได้นะคะ แตวันนี้พี่ขอเสนอแบบหากินที่พี่ทำบ่อยตามสูตรนี้นะคะแป้งกระทงทองแบบไม่มีน้ำปูนใส (สูตรนี้ทำได้ประมาณ 80-100 อันค่ะ ไม่ควรทำครึ่งสูตรนะคะเพราะแป้ง จะปริมาณน้อย เวลาจุ่มพิมทำยากค่ะ )1. แป้งสาลีเอนกประสงค์ 1 ถ้วย2. แป้งข้าวเจ้า 1 ถ้วย3. น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา4. เกลือปุ่น 1 ช้อนชา5. ไข่แดงของไข่ไก่ 2 ฟอง6. น้ำ 1 ถ้วย7. หัวกะทิ 1/4 ถ้วย (หัวกะทิ เอามาเจือจาง พี่ใช้กะทิกระป๋องตักเอาที่ข้น ๆ มาผสมน้ำค่ะ (ตรงนี้ต้องไม่เข้มข้นเกินไปนะคะ ถ้าใส่กะทิมากไป เวลาเอาพิมกระทงทองลงไปชุบ แป้งจะไม่ติดพิมค่ะ)การเตรียมแป้ง 1. ผสมแป้งสาลีและข้าวเจ้าเข้าด้วยกัน ใส่น้ำตาล เกลือ ไข่แดง คนด้วยตะกร้อเข้าด้วยกัน 2. ค่อยๆ ใส่น้ำกับกะทิ (เอามาผสมกันก่อน) พร้อมกับนวดแป้งให้เข้ากัน ขั้นตอนนี้ต้องค่อยๆ ใส่ นะคะ ใส่น้ำครั้งนึงก็คนๆ ไป แป้งจะติดพิมดีก็เพราะขั้นตอนนี้ค่ะ แป้งจะข้นทอดออกมาสวย ไม่แตกง่าย ขั้นตอนนี้จะใช้อะไรคนก็ได้ค่ะ แต่พี่ใช้มือคงไปนวดค่ะ เมื่อใส่ครบแล้วจะได้แป้งข้นที่ค่อนไปทางเหลว ๆ ค่ะเมื่อคนจนแป้งไม่จับตัวเป็นก้อนแล้ว เป็นอันเสร็จค่ะ ถ้าจะใส่งาดำก็ใส่ตอนนี้ค่ะ 3. เสร็จแล้วพักไว้ 10 นาทีค่ะ
โดย: สาวไหม [8 ม.ค. 49 13:31] ( IP A:24.10.136.220 X: )

ความคิดเห็นที่ 2 คราวนี้ก็จัดการไปติดเตาเลยค่ะ พี่ใช้ 2 เตาจะได้ง่ายเวลาทอด หม้อแรกใช้ไฟกลาง น้ำมันจะได้ร้อนหน่อยสำหรับแช่พิม เอาพิมลงไปแช่ได้เลย ส่วนอีกเตาก็ใช้ไฟกลางค่อนไปทางอ่อนรอไว้ทอดกระทงไฟแรงกระทงจะเป็นสีทองเข้มไปค่ะ จากนั้นเตรียมทุกอย่างให้พร้อม ถาดรองกระดาษซับน้ำมันไว้รอ ขั้นตอนการทอด (ดูรูปประกอบนะคะ)1. หลังจากที่แช่พิมไว้จนร้อนแล้ว ก็จุ่มพิมลงในแป้ง จะได้ยินเสียงซ่าส์ เวลาจุ่มค่ะ ถ้าพิมไม่ร้อน จุ่มจะไม่ติด ก็ไม่ต้องตกใจค่ะ แช่พิมใหม่แล้วเริ่มทำใหม่ค่ะ ตอนจุ่ม กะให้จุ่มพอดีขอบค่ะ 2. นำพิมพ์ที่จุ่มแป้งแล้วไปจุ่มในหม้อน้ำมันอีกเตานึง ถือค้างไว้พอดีกับขอบพิม ประมาณ 5 วินาที ตอนนี้ทำตัวกระทงค่ะ
โดย: สาวไหม [8 ม.ค. 49 13:35] ( IP A:24.10.136.220 X: )

ความคิดเห็นที่ 3 จากนั้นปล่อยพิมพ์ลงตั้งในก้นหม้อ แล้วค้างไว้ 10 วินาที เพื่อทำก้นกระทง แล้วยกพิมพ์ขึ้นมา ตัวแป้งที่พอจะเป็นรูปกระทงก็จะหลุดออก มาเองเลยค่ะ ถ้าติดก็ต้องเขี่ยออก แต่ทีพี่ทำกระทงหลุดออกมาง่ายมากค่ะ กระทงหลุดแล้ว เอาพิมไปแช่ไว้ในหม้อน้ำมันอีกหม้อนึงค่ะและทอดกระทงต่อจนเป็นสีทองทั้งกระทง ต้องคอยกลับให้โดนน้ำมันทั่วถึงค่ะ ถ้ากระทงทอดเป็นสีทองทั้ง อันจะกรอบนาน เวลาที่ใส่ไส้แล้วค่ะ
โดย: สาวไหม [8 ม.ค. 49 13:37] ( IP A:24.10.136.220 X: )

ความคิดเห็นที่ 4 4. ตักออกพักไว้ให้เย็นสนิท ซับน้ำมันให้แห้ง วางซ้อนกันแล้ว เก็บใส่ถุงซิปล็อคไว้ ไล่อากาศออก พี่ใส่ผงกันชื้นลงไปในถุงด้วย เก็บไว้กรอบนานถึง 3-4 เดือนค่ะ มีกระทงทองไว้ที่บ้าน อยากทำของฝากเวลามีใครเชิญไปทานอาหารที่บ้านก็ผัดไส้เดี๋ยวเดียว ก็มีของกินเล่นไปฝากแล้วค่ะ
โดย: สาวไหม [8 ม.ค. 49 13:38] ( IP A:24.10.136.220 X: )